วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552






หลังจากที่เจ้าตุ๊กตาบลายธ์เข้ามาครองใจทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น จนถึงสูงวัย ทั้งแบบราคาย่อมเยา จนถึงราคาสูงแบบลิมิเต็ด สำหรับคนที่กระเป๋าหนักโดยเฉพาะ ใครที่กระเป๋าบางคงต้องเก็บเงินอีกนานกว่าจะได้รุ่นในแบบที่ฝัน แต่มี "ทางออก" ของคนรักตุ๊กตาบลายธ์แล้ว โดยไม่ต้องเสียเงินสูงๆ แต่สามารถทำให้ตุ๊กตาบลายธ์ของตัวเองเปลี่ยนรูปโฉมให้เหมือนบลายธ์ลิมิเต็ดได้ ด้วยการ "คัสตอม" หรือการ "ศัลยกรรมบลายธ์" จึงกลายเป็นงานสุดฮิตที่เหล่าคนรักตุ๊กตาบลายธ์เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพราะสามารถทำตุ๊กตาบลายธ์ราคาย่อมเยาของตัวเองให้แปลงโฉมเป็นตุ๊กตาบลายธ์ คล้ายรุ่นลิมิเต็ดได้อย่างง่ายดาย เมื่อทุนน้อย แต่ได้ตุ๊กตาบลายธ์ที่มีราคาสูงขึ้น ย่อมเป็นที่สนใจอยู่แล้ว อีฟ-ศิริธร อุปเสน รับศัลยกรรมตุ๊กตาบลายธ์ หรือน้องบลายธ์แสนรักของทุกคน บอกว่า ตัวเองเป็นคนชอบเล่นตุ๊กตาบลายธ์เหมือนกัน ชอบแต่งตัวแบบใหม่ๆ แต่เสียดายที่เปลี่ยนหน้าตาไม่ได้ บางทีอยากได้แบบที่โชว์ตามเว็บแต่ไม่มีขายในประเทศไทย จนเห็นว่าที่ประเทศญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ มีการแนะนำทำศัลยกรรมตุ๊กตาบลายธ์ หรือการคัสตอม จึงลองดู โดยเรียนรู้วิธีทำจากอินเทอร์เน็ต
"อีฟเริ่มศัลยกรรมกับตุ๊กตาบลายธ์ของตัวเองก่อน จนชำนาญจึงเปิดรับทำศัลยกรรมให้กับคนที่สนใจ โดยมีเด็กตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนถึง 50 ปี ที่มาทำศัลยกรรมบลายธ์ สาเหตุที่มาทำกันนั้นส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนรูปลักษณ์บลายธ์ของตัวเอง และซื้อมาราคาถูก ค่อยมาทำศัลยกรรมให้เหมือนรุ่นลิมิเต็ดที่มีราคาแพง แต่ใครที่ซื้อบลายธ์ราคาแพงมาแล้ว หรือรุ่นลิมิเต็ดจะไม่เอามาทำศัลยกรรม" ส่วนใหญ่อวัยวะที่คนรักบลายธ์จะนำมาศัลยกรรมนั้น อีฟบอกว่า จะทำหน้าผิวหน้าให้ด้าน แต่งหน้าใหม่ เปลี่ยนขนตา เปลี่ยนสีผิว ตัดผม ทำสีผม เหลาปากแต่ส่วนที่ไม่ค่อยทำกันคืออายคลิป บางคนเสียดายหน้าเดิม แต่อยากให้บลายธ์ถ่ายรูปขึ้นก็มาทำผิวตุ๊กตาให้ด้านจะทำให้ถ่ายรูปสวยขึ้น "ลูกค้าที่ทำศัลยกรรมจะเอาแบบมาให้ดู หรือตั้งโจทย์ให้เราทำ แต่ต้องบอกก่อนว่าอาจไม่ออกมาเหมือน 100% เพราะว่าสีที่ทำผสมนั้นจะเป็นแฮนด์เมกทั้งหมด อาจผสมสีได้ไม่เหมือนจริง แต่จะทำให้ใกล้เคียงมากที่สุด เครื่องมืออุปกรณ์ก็หาได้ในไทย เว้นอุปกรณ์บางชิ้น เช่น เลนส์ตา ผม อุปกรณ์ที่อยู่ส่วนหัวทั้งหมด ต้องสั่งจากต่างประเทศ" นอกจากนี้คนทำศัลยกรรมบลายธ์ยังบอกเทรนด์ที่คนรักบลายธ์ชอบทำศัลยกรรมมากที่สุด คือ การเหลาปาก ให้รูปปากเล็กๆ ตัดผมม้า ทำบิ๊กอาย ให้หน้าตาแบ๊วขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ที่ฮิตใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น แถมเทรนด์ที่กำลังตามมาอย่างต่อเนื่อง คือ "การแปลงเพศ" เพราะตุ๊กตาบลายธ์เป็นผู้หญิง คนจึงนำมาแปลงเพศให้หน้าตา ผิวพรรณ ทรงผมเป็นผู้ชาย เพื่อมีบลายธ์ผู้ชายและผู้หญิงคู่กัน ส่วนราคาศัลยกรรมนั้นมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน แล้วแต่อุปกรณ์วัสดุที่จะเปลี่ยน เป็นราคาที่ถือว่าถูกสำหรับคนรักบลายธ์มากๆ แถมเมื่อเปลี่ยนให้บลายธ์สวยงามแล้ว เมื่อนำไปประมูลยังทำให้ราคาสูงขึ้นอีกด้วย จึงทำให้การศัลยกรรมบลายธ์เป็นที่นิมยมเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถนำมาหลอกคนอื่นได้ว่าเป็นบลายธ์รุ่นลิมิเต็ด เพราะการศัลยกรรมจะมีร่องรอยอยู่ จึงหลอกคนซื้อไม่ได้ แม้จะเป็นที่นิยมสูง แต่ "อีฟ" ศิริธร บอกว่า ศัลยกรรมบลายธ์ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่การทำวิธีบางอย่างก็ยากเช่นกัน เช่น ทำผมทรงแปลกๆ หรือลูกค้าอยากเหลาปากให้เล็ก พอเหลาแล้วอยากเหลาอีกก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก่อนทำต้องตัดสินใจดีๆ "อยากฝากให้คนที่อยากทำศัลยกรรมบลายธ์หรือคัสตอมว่า ก่อนมาทำขอให้ดูความชอบของตัวเองก่อนว่าอยากเปลี่ยนแปลงอะไร และชอบตรงนั้นจริงๆ ที่สำคัญอย่าไปเสียดายหน้าเดิมๆ หากตัดสินใจจะทำแล้ว รวมทั้งเลือกช่างที่เราไว้ใจ ดูผลงานที่ผ่านๆ มา บางทีทำกับคนที่ไม่รู้อาจไม่ถูกใจ พอแก้ไขจะลำบาก ซึ่งแก้แล้วแก้อีกจะทำให้ตุ๊กตาช้ำได้ และถ้าโดนทินเนอร์บ่อยๆ มีสิทธิทำให้ร้าวเช่นกัน" เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่รักตุ๊กตาบลายธ์

หากจะพูดถึงของสะสม ตอนนี้คนไทยหันกลับมาเล่นตุ๊กตาอีกครั้ง จากที่บาร์บี้ (Barbie) เงียบหายไปจนเหลือกลุ่มแฟนพันธุ์แท้จริงๆ เท่านั้น ตอนนี้บลายธ์ (Blythe) ขอกลับมาทวงบัลลังก์ของสะสมของคุณหนูๆ ไม่สิ ของคนทุกวัย ดูจะเหมาะสมกับ"ราคา"มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีตุ๊กตาสุดฮอตแบบใหม่ สายพันธุ์เกาหลีมา อาทิ พูลลิป (pullip) แทยัง (Taeyang) เดล (Dal) จากบริษัท Jun Planning หรือแม้แต่ลูมิ (Lumi) ผลิตโดยบริษัท Lati ก็กลายเป็นที่คลั่งไคล้ของชาวโลกไซเบอร์ขณะนี้
บลายธ์ประจำร้าน
แก๊งตุ๊กตาบ้านพี่ก้อย
พี่ก้อยลงมือ custom
พี่อ้อ-สงกรานต์ จรรจลานิมิตร เจ้าของร้าน Seapimtadolls เล่าถึงที่มาของการเริ่มต้นธุรกิจขายตุ๊กตาว่า ช่วงแรกๆ เริ่มจากการขายส่ง จากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ แล้วจึงเปิดร้านในที่สุด ซึ่งที่ร้านเริ่มขายตุ๊กตาของเกาหลี เน้นที่พูลลิปมากกว่าบลายธ์ แต่ออร์เดอร์สั่งสินค้าก็ได้รับความนิยมทั้ง 2 กลุ่ม ใกล้เคียงกัน ส่วนตัวที่ภูมิใจก็ต้องเป็นสุดยอดของบลายธ์ อันนี้เขาทำครบรอบปีที่ 6 และราคาแพงที่สุดในทุกปี พิเศษตรงที่มีสาย 2 เส้น ทำให้สามารถหลับตาค้างได้ วัสดุที่ใช้ทำขนตาก็จะแตกต่าง เปลือกตามีสี และเป็น Limited Edition ผลิตแค่ 3,000 ตัว ซึ่งตอนที่คุณจุนโกะ (Junko Wong) ประธานกรรมการบริษัท CWC ประเทศญี่ปุ่น (บริษัทที่นำบลายธ์มาผลิตอีกครั้ง) มาที่เมืองไทยได้เซ็นชื่อไว้ให้ด้านหลังตุ๊กตาตัวนี้"ส่วนเดล (Dal-Drta) ตัวนี้หายากตรงที่เป็นรุ่นแรก ส่วนพูลลิปก็ต้องเป็นรุ่น Pullip Greggia ส่วนตุ๊กตาผู้ชายอย่าง"แทยัง" ก็เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เช่นกัน" พี่อ้อ บอกอีกว่า ตุ๊กตาบลายธ์ตอนนี้ คนนิยม Custom (Customize) ขัดหน้าเอาความมันออก เจาะปากใส่ฟัน เหลาคาง เติมกระไฝ แต่ให้ที่ร้านรับทำดีกว่า โดยปกติแล้วที่ร้านเอง ก็มีการนัดลูกค้าและเพื่อนๆ ที่นิยมเล่นตุ๊กตาเหมือนกันมาที่ร้าน แล้วช่วยกันตกแต่ง มาแลกเทคนิคกัน อย่างการแต่งหน้าก็ใช้เครื่องสำอาง ใช้พวกสีทาโมเดล แล้วใช้แอร์บรัชพ่น เรื่องนี้ต้องใช้ฝีมือในการปรับสีอ่อนเข้ม ตัวนี้ใช้ทำกระได้ด้วย ถ้าเป็นคนที่ลองแต่งให้ใช้สี Soft Pastel เนื้อละเอียดดีกว่า แต่ราคาจะค่อนข้างสูง หากจะลบหน้าออกให้ใช้กระดาษทรายน้ำเช็ด Make-up แนะนำว่าให้ลองแต่งไปเลย เพราะแก้ไขได้
3 ตัวสุดแพงประจำร้านSeapimtadolls
ตุ๊กตาบริษัท Jun Planning
พี่อ้อ บอกว่า ส่วนตัวแล้วสะสมหมด รวมทั้งตุ๊กตาบาร์บี้ยอดนิยม จนถึง Diva Starz สืบเชื้อสายจากตระกูลบาร์บี้ ช่วงแรกขายอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ตอนนี้ไม่ผลิตแล้ว สำหรับบลายธ์เกิดจริงๆ ที่สหรัฐฯ ปี 1972 แต่ผลิตมาได้ปีเดียวก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นหน้าตายังน่ากลัว จนต้องเลิกผลิตไป ต่อมาบริษัทของประเทศญี่ปุ่นนำมาผลิตใหม่ในปี 2001-2002 ส่วนเดลผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 2006 แต่ลูมิทางร้านไม่นำเข้า เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ปกติแล้วลูกค้าจะสั่งมากกว่าด้านพี่ก้อย-ดริน นพนิราพาธ นักสะสมตุ๊กตาตัวยง เมื่อย่างกรายเข้าไปในบ้านที่ดูเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่พอพี่ก้อยนำตุ๊กตาหลากหลายชนิดมาอวด เราถึงขั้นอ้าปากค้าง"พี่เริ่มสะสมของจิ๋วมาตั้งแต่เด็ก แสตมป์ก็มีเยอะ พวกของเล็กๆ พี่สะสมมาเป็น 10 ปีแล้ว เริ่มจากของแถมในร้านฟาสฟู้ด ช่วงแรกๆ ซื้อจากเมืองนอก แล้วก็มาซื้อของจิ๋วที่ไทยทำเอง ทำจากวัสดุจริง อย่างของจิ๋วต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเล่นกับอะไร จนมาเห็นว่า เขาเล่นกับตุ๊กตาอย่าง บลายธ์"
ตุ๊กตา Dream of doll
บาร์บี้ ซิลค์
บลายธ์ของพี่ก้อย
พี่ก้อย เล่าถึงที่มาการเริ่มสะสมตุ๊กตาว่า ตอนเด็กเริ่มจากบาร์บี้ สะสมจริงจังเมื่อช่วง 5 ปีที่แล้ว ต่อมาก็เป็นบาร์บี้ ซิลค์ (Barbie silkstone) ซึ่งเป็นของสะสมของผู้ใหญ่ มากกว่าด้วยราคาที่สูง ชุดหรูหรา ซึ่งรวมๆ มีบาร์บี้ประมาณ 100 ตัว ส่วนบรายธ์เห็นตอนแรกกลัว รู้สึกไม่ชอบเลย ตาก็โต หัวแบน แต่ชอบพูลลิปและเดล ซึ่งเดลและพูลลิปมีอย่างละ 20 ตัว แทยังก็มีนะ 8 ตัว จากนั้นเห็นบลายธ์บ่อยก็ชอบ Custom ได้ด้วยเลยสนุก ข้อดีอยู่ตรงนี้ เราเปลี่ยนสีตา ปาก แต่งหน้าใหม่ได้ บางคนเปลี่ยนบอดี้ (Body) ใช้ของตุ๊กตาชนิดอื่น ทำให้จัดท่าทางได้เยอะขึ้น มีรวมๆ 40 ตัวแล้ว"ส่วนราคาที่ถือว่าแพง สำหรับบาร์บี้มีรุ่นที่เป็นหมื่น ตัวที่หายากๆ คอลเลคชั่นเก่า ด้านบลายธ์ก็มีที่ราคา 20,000 บาท แต่ส่วนใหญ่ซื้อตอนที่ออกมาแรกๆ ราคาเลยไม่สูงมาก" พี่ก้อย ยังแนะนำให้เรารู้จักกับ Fashion Royalty เป็นตุ๊กตาที่คล้ายบาร์บี้ แต่ขยับข้อต่อได้ ราคาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังมีตุ๊กตาสั่งทำบริษัท Dream of doll ที่สั่งทำรวมราคานำเข้าสูงลิบ ผู้ชายความสูง 70 เซ็นติเมตร ราคา 30,000 บาท ส่วนผู้หญิงสูง 60 เซ็นติเมตร ราคากว่า 25,000 บาท ความแตกต่างของพวกตุ๊กตาสัญชาติเกาหลีจะอยู่ที่วัสดุ ซึ่งใช้เรซิ่นทำ สามารถแตกและเป็นรอยได้ แต่พวกนี้เปลี่ยนตัวและหัวได้ ซึ่งต้องอดทนรอ 1-3 เดือน ของจึงจะมาถึง
ตัวจิ๋วก็มี
fashion royalty
บลายธ์ที่พี่ก้อย Custom เองกับมือ
พวกชุดของตุ๊กตาทั้งหลาย พี่ก้อย บอกว่า มีทั้งที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่ของคนไทยเอง คุณภาพก็ดีไม่แพ้กัน สำหรับลูมิ พี่ก้อยก็สนใจ แต่ชอบเล่นไอ (AI) มากกว่า เพราะราคาถูก ยิ่งดู ยิ่งฟัง ก็ยิ่งมองตุ๊กตาเหล่านี้ เป็นมากกว่าของเล่น ซึ่งสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ "ใจรัก" และทะนุถนอมของที่มี นั่นคือสิ่งสำคัญที่เหล่านักสะสมอยากฝากไว้ ไม่ใช่เพียงอยากซื้ออยากได้แล้วนำมาทิ้งขว้าง เพียงเพราะตุ๊กตาไม่มี "หัวใจ"

ตุ๊กตาตุกตา

Who's that Girl ? Blythe อ่านออกเสียงว่า ' Blahyth ' หรือ ' Blind ' เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตาดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้ Blythe by Kenner ปี 1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องมีให้ Mix&Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น Gina Garan 30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan ( โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง Gina เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ' This is Blythe ' รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก The Japanese Blythe หลังจากที่ Hasbro ( ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ กระแส Blythe fever ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่ Gina กับ Junko Wong ( โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ) ได้ร่วมมือกันจัดนิทรรศการต่างๆที่เกียวกับ Blythe ขึ้น ก็ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano , Prada , Gucci , Vivienne Westwood , Issey Miyake , Versace , Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว ในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า ' Neo Blythes ' และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆของ Neo Blythes เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก ' Parco Limited Edition ' ( 1,000 ตัว ) ที่ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian , Rosie Red , Holly Wood , All Gold in One , Kozy Kape inspired , Aztec Arrival , Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 1 ปีของ Neo Blythes พร้อมเซอร์ไพรส์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า ' Petite Blythe ' ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆกับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆให้ดูมี Movement เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ถือว่าโดดเด่นและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly , Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว ' Blythe Belle ' ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น Blythe Bodies BL : ในช่วงปี 2001-2002 Neo Blythe ได้ผลิตออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตุ๊กตาที่มีอิทธิผลต่อแวดวงแฟชั่น ด้วยบอดี้แบบตุ๊กตา Licca ตุ๊กตา 6 ตัวแรกที่ปฏิวัติตุ๊กตารูปแบบเดิมๆด้วยลูกตาที่มีความแวววาว และพื้นผิวหน้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตา พร้อมกับแต่งแปลือกตาให้มีความกระจ่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสีผิวหน้าให้มันวาวขึ้นด้วย EBL ( Excellent ) : ในปี 2003 Takara เฉลิมฉลองวันครบรอบ 1 ปีแรกของ Blythe ด้วยการเปิดตัว Excellent Blythe ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับต้นแบบเดิมของ Kenner จะต่างกันก็ตรงวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น รุ่น Cinnamon Girl ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกและยางสีเข้ม มีความโปร่งใสมันวาว จนมาถึงรุ่น Fruit Punch แต่พลาสติกที่ใช้ทำลูกตาจะเป็นโทนสีสว่างขึ้น ( หลังจากที่หยุดผลิต EBL Dolls ... Takara ก็ได้ปล่อยตุ๊กตา Blythe รุ่นใหม่คือ Margaret Meets Ladybug และ Samedi Marche ออกมาตีตลาดของเล่นอีกอย่างต่อเนื่อง ) SBL ( Superior ) : ในปี 2004 - ปัจจุบัน ยังคงอิง Blythe ต้นแบบดั้งเดิมของ Kenner ( 1972 ) มากที่สุด แต่รูปแบบนั้นเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจากการยกเครื่องเปลี่ยนตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงโครงสร้างภายใน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาที่มีความแวววาวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบอยู่ด้านหลังก็ถูกทำให้ดูสมูทขึ้น พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนใหม่บริเวณหนังศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความทนทานมากขึ้นด้วย RBL ( Radiant ) : ในปี 2006 Radiant Blythe ถูกผลิตขึ้นมาตีตลาดอีกครั้ง ภายใต้บอดี้ที่เหมือนกับ SBL และ EBL แต่แตกต่างกันที่ตรงส่วนโค้งของเปลือกตาที่ดูลึกและมีมิติขึ้น เช่นรุ่น Darling Diva , Last Kiss และ Star Dancer ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนต่อไปอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวังก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จนหลงลืมคุณค่าของอดีต แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โหยหาอดีต เฉกเช่นเดียวกับ Blythe ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา แต่มันก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยังคงหลงเสน่ห์ในตัวมันนัก แม้เวลาจะผ่านไปสักกี่สิบปีก็ตาม ....