วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552






















มาทำความรู้จักกับตุ๊กตา ตากลม หน้าแบ๊ว ตัวนี้กันดีกว่าค่ะ

Who's that Girl ?
Blythe อ่านออกเสียงว่า ' Blahyth ' หรือ ' Blind ' เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตาดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้

Blythe by Kenner
ปี 1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องมีให้ Mix&Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น

Gina Garan
30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan ( โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง Gina เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป้นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ' This is Blythe ' รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก

The Japanese Blythe
หลังจากที่ Hasbro ( ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ

กระแส Blythe fever ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่ Gina กับ Junko Wong ( โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ) ได้ร่วมมือกันจัดนิทรรศการต่างๆที่เกียวกับ Blythe ขึ้น ก็ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano , Prada , Gucci , Vivienne Westwood , Issey Miyake , Versace , Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว

ในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า ' Neo Blythes ' และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆของ Neo Blythes เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก ' Parco Limited Edition ' ( 1,000 ตัว ) ที่ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian , Rosie Red , Holly Wood , All Gold in One , Kozy Kape inspired , Aztec Arrival , Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 1 ปีของ Neo Blythes พร้อมเซอร์ไพรส์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า ' Petite Blythe ' ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆกับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆให้ดูมี Movement เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ถือว่าโดดเด่นและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly , Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว ' Blythe Belle ' ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น

Blythe Bodies
BL : ในช่วงปี 2001-2002 Neo Blythe ได้ผลิตออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตุ๊กตาที่มีอิทธิผลต่อแวดวงแฟชั่น ด้วยบอดี้แบบตุ๊กตา Licca ตุ๊กตา 6 ตัวแรกที่ปฏิวัติตุ๊กตารูปแบบเดิมๆด้วยลูกตาที่มีความแวววาว และพื้นผิวหน้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตา พร้อมกับแต่งแปลือกตาให้มีความกระจ่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสีผิวหน้าให้มันวาวขึ้นด้วย

EBL ( Excellent ) : ในปี 2003 Takara เฉลิมฉลองวันครบรอบ 1 ปีแรกของ Blythe ด้วยการเปิดตัว Excellent Blythe ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับต้นแบบเดิมของ Kenner จะต่างกันก็ตรงวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น รุ่น Cinnamon Girl ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกและยางสีเข้ม มีความโปร่งใสมันวาว จนมาถึงรุ่น Fruit Punch แต่พลาสติกที่ใช้ทำลูกตาจะเป็นโทนสีสว่างขึ้น ( หลังจากที่หยุดผลิต EBL Dolls ... Takara ก็ได้ปล่อยตุ๊กตา Blythe รุ่นใหม่คือ Margaret Meets Ladybug และ Samedi Marche ออกมาตีตลาดของเล่นอีกอย่างต่อเนื่อง )

SBL ( Superior ) : ในปี 2004 - ปัจจุบัน ยังคงอิง Blythe ต้นแบบดั้งเดิมของ Kenner ( 1972 ) มากที่สุด แต่รูปแบบนั้นเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจากการยกเครื่องเปลี่ยนตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงโครงสร้างภายใน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาที่มีความแวววาวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบอยู่ด้านหลังก็ถูกทำให้ดูสมูทขึ้น พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนใหม่บริเวณหนังศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความทนทานมากขึ้นด้วย

RBL ( Radiant ) : ในปี 2006 Radiant Blythe ถูกผลิตขึ้นมาตีตลาดอีกครั้ง ภายใต้บอดี้ที่เหมือนกับ SBL และ EBL แต่แตกต่างกันที่ตรงส่วนโค้งของเปลือกตาที่ดูลึกและมีมิติขึ้น เช่นรุ่น Darling Diva , Last Kiss และ Star Dancer

ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนต่อไปอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวังก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จนหลงลืมคุณค่าของอดีต แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โหยหาอดีต เฉกเช่นเดียวกับ Blythe ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา แต่มันก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยังคงหลงเสน่ห์ในตัวมันนัก แม้เวลาจะผ่านไปสักกี่สิบปีก็ตาม ....

บทความจาก Special Story โดยคุณอภิญญา จากนิตยสารเปรียว




เหล่าคนดังอย่าง "ชมพู่" อารยา ก็ยังหันมาสะสม ตุ๊กตาอินเทนรด์ นำแฟชั่น อย่าง ตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) ตัวนี้เช่นกัน

ตุ๊กตาหน้าเหมือนของรักของหวงของ "ชมพู่" อารยา
หน้าตาละม้ายคล้ายตุ๊กตาเหลือเกิน "ชมพู่" อารยา เอ ฮาร์เก็ต เลยกลายเป็นนักสะสมตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) ระดับต้นๆ ของเมืองไทย นางเอกสาวชื่อดังรีบแจกแจงถึงที่มาในการเริ่มสะสมตุ๊กตาแบรนด์ดังว่า เดิมทีไม่คิดจะสะสม แต่เห็นความน่ารักของมันแล้วอดใจไม่ไหว

"ตอนแรกแตงโม (ภัทรธิดา พัชระวีรพงษ์) ส่งรูปตุ๊กตามาให้ดูก่อน เราเห็นรูปก็เอ๊ะ...ทำไมมันน่ารักจังเลย แต่ก็ยังไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน กระทั่งตอนที่แตงโมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวฮ่องกง เขาก็เลยซื้อมาให้ 1 ตัว ตอนนั้นดีใจมาก หลังจากนั้นก็เหมือนผีสิง (หัวเราะ) ซื้อตุ๊กตาตลอด อย่างเมื่อก่อนไม่เคยไปสะพานเหล็ก คลองถม เพราะคิดว่ามีแต่ผู้ชายไปซื้อเกม ซื้อซีดี แต่พอรู้ว่าที่นั่นมีร้านขายตุ๊กตาบลายธ์ด้วย ก็เริ่มไปซื้อ ครั้งแรกที่ซื้อก็ 6-7 ตัวแล้วนะ ออกตัวแรงเลยล่ะ ใช้เวลาไม่ถึงเดือน ก็มี 30 ตัวแล้ว โดยเฉพาะนักสะสมใหม่อย่างเรา ถ้ารุ่นไหนยังไม่มีก็จะขยันซื้อ" นางเอกวิก 7 สีอธิบายเสียงใส

เม้าท์เรื่องตุ๊กตาสุดโปรดให้ฟังมาพักหนึ่งแล้ว คราวนี้ชมพู่ก็ขออวดตุ๊กตาแต่งชุดหวาน ที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาตุ๊กตาที่เธอสะสมทั้งหมดประมาณ 60 กว่าตัว นั่นก็คือราคา 2 หมื่นบาท ซึ่งบินไปซื้อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเอง แถมก่อนซื้อต้องอีเมลไปสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าด้วย ส่วนสาเหตุที่ราคาแพงหูฉี่ เพราะเป็นตุ๊กตาครบรอบปี 2004 ซึ่งผลิตออกมาเป็นจำนวนน้อยนั่นเอง

"จริงๆ ราคาตุ๊กตา 1 ตัว ราคาจะประมาณ 3,500 บาท ราคาจะแพงหรือไม่แพงอยู่ที่รุ่นด้วย ตอนนี้ถ้าเป็นตุ๊กตาที่ชมสะสมอยู่ ให้แก้ผ้าตุ๊กตา เราก็พอจะจำได้ว่าเป็นรุ่นไหน แต่ถ้าไม่ใช่รุ่นที่ชมสะสมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แหม...ชมก็ไม่ถึงขั้นเทพขนาดนั้น (หัวเราะ) เพราะยังสะสมไม่ถึงปีเลย แต่ออกตัวแรงมาก" ชมพู่ กล่าวพร้อมหัวเราะ




"ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะมองว่า เราสะสมอะไร ไร้สาระ แต่ถ้าเข้ามาอยู่ในกลุ่มจะรู้ว่า มันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาชอบเหมือนเรา ถามว่าหมดเงินไปเยอะมั้ยกับการซื้อตุ๊กตา เรียกว่าหมดไปเยอะ หลายแสนบาทอยู่นะ แต่ตุ๊กตาพวกนี้ขายคืนได้ทุกชิ้น เพราะเขามีราคา พอเราเริ่มสะสม เราก็เริ่มศึกษาจากหนังสือบ้าง จากเว็บไซต์บ้าง หรือมีคนที่เขาสะสมอยู่แล้วมาแนะนำบ้าง ตอนนี้ชมก็มีโครงการจะซื้อจักรเย็บเสื้อผ้าให้น้องตุ๊กตาด้วยนะ" ชมพู่ เล่าอย่างอารมณ์ดีทิ้งท้าย




ภาพ ตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) น่ารักๆ
(คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดใหญ่)





















ประวัติBarbie มาให้อ่านกันค่ะ
ประวัติBarbie มาให้อ่านกันค่ะ รายละเอียด : ประวัติBarbie มาให้อ่านกันค่ะ บริษัท แมตเทล ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1944 โดย เอลเลียต แฮนด์เลอร์ และ ฮาโรลด์ แมตสัน เพื่อเป็นบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์บ้านตุ๊กตา โดยชื่อ แมตเทิล นี้ตั้งมาจากการผสมชื่อของทั้งสองเข้าด้วยกันบริษัทMattelมาจากคำ2คำ 1.คำว่าMattมาจากชื่อของท่านMattsonซึ่งเป็นเพื่อนของคู่สามีภรรยาตระ +++ลแฮนด์เลอร์ 2.คำว่าElมาจากEliotteสามีของคุณRuth ดังนั้นคำว่าMatt +El=Mattel จึงเป็นชื่อบริษัทที่2ครอบครัวนี้ลงทุนกันตั้งขึ้นมา ต่อมาแมตสันขายหุ้นส่วนหนึ่งของตัวเองให้แฮนด์เลอร์กับรูธ ภรรยาของแฮนด์เลอร์ ซึ่งเข้ามาร่วมธุรกิจในปีค.ศ. 1948 แม้ว่าคู่สามี-ภรรยา แฮนด์เลอร์ มีประสบการณ์ด้านธุรกิจมาน้อย และมีเงินทุนก็น้อย แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความที่ประชากรที่เกิดขึ้นในยุคเบบี้บูมมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตตุ๊กตามีน้อย จึงทำให้แมตเทลมีโอกาสยิ่งใหญ่มากในการหาตลาด สองสามีภรรยาจึงได้เรียนรู้เรื่องราวในธุรกิจมากมาย เช่น ต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้าสมัย ต้องควบคุมราคา ปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งบทเรียนล้ำค่าเหล่านี้ทำให้บริษัทแข็งแกร่งและยากที่คู่แข่งจะลอกเลียนแบบ ในปี ค.ศ. 1959 แมตเทลจึงออกผลิตภัณฑ์ "บาร์บี้" ซึ่งนำชื่อมาจากลูกสาวตัวเอง "บาร์บาร่า" ส่วนตุ๊กตาผู้ชายที่มีต่อมาชื่อ "เคน" นั้นก็นำมาจากชื่อลูกชาย บาร์บี้ทำให้บริษัท แมตเทล กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตและจำหน่ายของเล่นไปทั่วโลก จากนั้นถึงวันนี้ การผลิตเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้ใช้ผ้าไปแล้วมากกว่า 105 ล้านบาท มีแบบต่างๆมากกว่า 500 แบบ จำหน่ายตามประเทศต่างๆกว่า 150 ประเทศ คนคิดค้นบาร์บี้เป็นผู้หญิง คือ รูธ แฮนด์เลอร์ แล้วก็ผลิตโดยบริษัท Mattel ที่เป็นบริษัทของสามีเธอที่ ชื่อ เอเลียต กับเพื่อนของเขาที่ชื่อ แฮร์โลด์ แม็ตสัน ชื่อ บริษัท แมทเทล เป็นการรวมชื่อของ แม็ตสัน (Matt son) กับ เอเลียต (Eliot) เข้าด้วยกัน เป็น แมทเทล (Mattel) ส่วนประเทศผู้ผลิตให้บาร์บี้หลักๆ มีอยู่ 2 ประเทศคือ ประเทศจีน กับประเทศอินโดนีเซีย แต่ประเทศจีนจะผลิตมาได้สวยงามกว่า ลิกกะ และเจนนี่เคย เป็น ของในเครือพวกบาร์บี้มาก่อน เป็นบาร์บี้ เวอร์ชั่น ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้เป็นของบริษัท ทาการะ เนื่องจากมี การขัดแย้งกันทางด้านผลประโยชน์จึงได้แยกตัวมาเป็นบริษัท ทาการะ ส่วนบาร์บี้นั้นเป็นการได้รับแรงบรรดาลใจใน รูปร่างและหน้าตามาจากตุ๊กตาของประเทศ เยอรมันนี ที่ชื่อตุ๊กตา Bild Lily ซึ่งจะมีรูปร่าง และหน้าตาคล้าย กับบาร์บี้ตัวแรก ก็เพราะว่าบาร์บี้ได้รับอิทธิพลมาจาก Bild Lily ในร้านขายของเล่นขณะเดินซื้อของที่เมืองลูเซิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รูธ ระบุว่า บาร์บารา ลูกสาวของเธอนั้นชอบเช่นตุ๊กตากระดาษที่ดูเหมือนผู้ใหญ่มากกว่าจะเล่นตุ๊กตาเด็กๆ และเมื่อเธอพบ ลิลลี่ ซึ่งเป็นตุ๊กตาสาวเต็มตัว ทั้งเซ็กซี่ และน่ารัก รูธ จึงซื้อมาให้บาร์บารา ต่อมามันก็กลายเป็นต้นแบบของตุ๊กตา "บาร์บี" ที่ตั้งตามชื่อ "บาร์บารา" ของลูกสาวเธอเอง ตุ๊กตาบาร์บีปรากฏตัวครั้งแรกในงานของเล่นที่นิวยอร์กในวันนี้เมื่อปี 1959 ในภาพของนางแบบวัยรุ่นที่สวมชุดว่ายน้ำลายขาวดำ พร้อมกับแว่นกันแดดสุดเปรี้ยว รองเท้าส้นสูง ตุ้มหูห่วงสีทอง และผมหางม้า บาร์บีสูง 29 เซนติเมตร หนัก 11 ออนซ์ และภายในปีแรกที่เปิดตัวตุ๊กตาสาวสวยนั้น บริษัทแม็ทเทล สามารถขายบาร์บีได้กว่า 300,000 ตัว ด้วยราคาตัวละ 3 เหรียญ และแล้วเรื่องราวของบาร์บีก็ถูกแต่งขึ้นเพื่อส่งเสริมการขาย สาวน้อยผู้นี้มีชื่อจริงว่า( บาร์บี้ มิลลิเซ็นต์ โรเบิร์ตส์)เป็นบุตรสาวของ Mrs.Mageret Roberts และ Mr.Robert Roberts เกิดที่ “Willow, Wisconsin ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาแม็ทเทล ก็ส่งครอบครัวและเพื่อนๆมาเพิ่มบทบาทไม่ให้บาร์บีต้องโดดเดี่ยว เริ่มต้นด้วย เคน (เคน คาร์สัน ) แฟนหนุ่ม และครอบครัวของเธออันได้แก่น้องสาว 5 คน ชื่อว่า สกิปเปอร์ ทูตติ สเตซี และเคลลี พร้อมทั้งเพื่อนสนิทอย่างมิดจ์ในปี ค.ศ. 1963 นอกจากนั้นบาร์บียังได้เข้าเรียนในระดับไฮสคูลที่โรงเรียนวิลโลวส์ ในเมืองวิลโลวส์ รัฐวิสคอนซิน บาร์บีเริ่มออกเดทกับเคนในปี 1961 ทั้งสองเป็นคู่รักที่สวีทกันมาตลอดกว่า 40 ปี แต่เมื่อเดือนที่ผ่านมาก่อนวาเลนไทน์แค่ 2 วัน โฆษกของบริษัทแม็ทเทลก็สร้างความตกตะลึงแก่แฟนบาร์บีทั่วโลกด้วยการประกาศข่าวการแยกทางของ บาร์บี้ และ เคน บาร์บี้ สาวน้อยที่มีคนหลงรักไปทั่วโลก เพราะเรื่องราวของเธอที่มีมากว่า 47 ปีนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเข้ากับแต่ละวัยได้ตลอด แม้กระทั่งยุคที่สถานะของ “กิ๊ก” กำลังระบาด สาวบาร์บี้ก็แอบมีกิ๊กจนเลิกกับแฟนหนุ่ม “เคน” ไปเป็นที่เรียบร้อย และล่าสุดในปี 2005 นี้ สาวบาร์บี้เธอก็ตามเทรนด์แฟชั่นเป็นสาวมั่นบนแคทวอล์ก ให้นักสะสมได้แต่งตัวให้บาร์บี้อย่างเต็มอิ่ม เพราะเสน่ห์ของบาร์บี้ใช่ว่าจะอยู่ที่หน้าตาและเสื้อผ้าที่สวยๆเท่านั้น แต่ใครที่ได้เป็นเจ้าของบาร์บี้ตัวแพง และเก็บสะสมไว้เข้านานวันมูลค่าของสาวน้อยคนนี้กลับยิ่งสูงค่าขึ้น “บาร์บี้จะเปลี่ยนคอลเลกชันให้นักสะสมได้อัปเดทกันทุกปี โดยเฉพาะเสื้อผ้าของแม่สาวบาร์บี้ที่เพิ่มออปชันให้มีลูกเล่นมากขึ้น แต่ใครที่สนใจอยากจะเริ่มต้นสะสมตุ๊กตาบาร์บี้ ก็ใช่ว่าจะกว้านซื้อทุกตัวยกแผง ควรชั่งใจก่อนว่าเราชอบบาร์บี้สไตล์ไหน เพราะถ้าซื้อทุกคอลเลกชัน คงเสียค่าใช้จ่ายมากทีเดียว ตุ๊กตาบาร์บี้ถูกแบ่งให้นักสะสมได้เลือกเป็นเจ้าของไว้อย่างชัดเจน อาทิ คอลเลกชันแฟนตาซี ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยายเรื่องต่างๆ ล่าสุด บาร์บี้แปลงกายเป็นเจ้าหญิงเอลป์ในเรื่อง เดอะลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ หรือคอลเลกชันแฟชั่นดีไซเนอร์ ที่ได้ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกมาออกแบบหน้าตาและเสื้อผ้าให้กับสาวบาร์บี้ หรือจะเป็นบาร์บี้ในชุดนานาชาติที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต่างๆ เช่นบาร์บี้สวมวิญญาณพระนางมารี อองตัวเน็ต ด้วยชุดเครื่องแต่งกายที่จำลองมาจากพระนางจริงๆ กล่าวถึงข้อดีของการเป็นเจ้าของตุ๊กตาสาวสวย “การสะสมบาร์บี้นอกจากจะได้เป็นแค่เจ้าของตุ๊กตาตัวสวยแล้ว มันทำให้เรารู้จักวิธีการดูแลรักษาของ โดยเฉพาะของที่เรารัก รู้จักวิธีดูแลรักษา เอาใจใส่ ได้อัปเดท บาร์บี้แต่ละรุ่นว่าเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แม้กระทั่งรู้จักดีไซเนอร์ ทั้งที่มีชื่อเสียงของโลก หรือ ตัวดีไซเนอร์ประจำเสื้อผ้าของบาร์บี้เอง โดยเฉพาะกับคอลเลกชันล่าสุดที่ชุดทั้งหมด ก๊อป+++ มาจากแฟชั่นบนแคทวอล์ก ไม่มีผิดเพี้ยน” เพราะแฟชั่นคือผู้หญิงและผู้หญิงก็คือแฟชั่น ดังนั้นคงไม่น่าแปลกที่เราจะเห็นสาวบาร์บี้ในชุดแฟชั่นหลากหลายสไตล์ ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ก็ต้อง อัปเดท แฟชั่นให้เขากับความหนาวเหน็บเช่นเดียวกัน แต่เสื้อผ้าของเธอไม่ได้กันหนาวแค่อย่างเดียว เครื่องแต่งกายของบาร์บี้ คอลเลกชัน นี้เป็นถึงระดับ โอต์ +++ตูร์ จากฝีมือการออกแบบของ โรเบิร์ต เบสท์ ดีไซร์เนอร์มือหนึ่งของบาร์บี้เอง ไม่ว่าจะเป็นชุดราตรีผ้าซาตินสีเทาชาโคว ตกแต่งด้วยงานปักสีเงิน พร้อมผ้าคลุมไหล่สีฟ้าไข่มุก ช่างตัดกับตุ้มหูเพชร และถุงมือสีฟ้าไข่มุกด้วย หรือจะเป็นชุดผ้าสักหลาดสีน้ำตาล พร้อมกระเป๋าลายเสือดาว พร้อมเสื้อตัวในที่ถักด้วยนิตติ้ง คาดด้วยเข็มขัดหินไรน์สโตน พร้อมถุงมือสีดำและรองเท้าบู๊ท ด้วยการเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแบบนี้ทำให้สาวบาร์บี้อิน เทรนด์อยู่ตลอดเวลา “จากที่รู้จักกับบาร์บี้มากว่า 10 ปี เห็นว่าบาร์บี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า และแม้แต่รูปหน้าที่ปรับให้ทันสมัย และเดี๋ยวนี้กระแสแฟชั่นมาแรง โดยเฉพาะในฮ่องกง ไต้หวัน หรือในเมืองไทย ทำให้บาร์บี้ไม่ยอมน้อยหน้า หันมาอินกับกระแสแฟชั่นด้วย เพราะไม่เพียงแค่ คอลเลกชันซิลค์ สโตน เท่านั้นที่กำลังเป็นที่โปรดปรานของนักสะสมบาร์บี้แฟชั่นตัวยง คอลเลกชันใหม่อย่าง Fashion Fever ก็ออกมาเอาใจนักสะสมระดับกลาง ภายใต้เสื้อผ้าแฟชั่นตามกระแสโลก ด้วยราคาที่ไม่สูงนัก และโดดเด่นด้วยการจับบาร์บี้มาแต่งตัวในสไตล์ มิกซ์ แอนด์ แมช เข้ากับสาวยุคนี้อีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงบาร์บี้ไปตามกาลเวลาคือ ราคาที่ยิ่งนานยิ่งทวีค่าขึ้น โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ ตอนนี้มีมูลค่าหลักหมื่นเลยทีเดียว ดังนั้นนักสะสมที่ดีต้องดูแล รักษาบาร์บี้ให้สวย สมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลาด้วย โดยเฉพาะความสะอาดของเสื้อผ้า หากใครที่ตัดสินใจสะสมบาร์บี้ การดูแลเสื้อผ้าให้เธอก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเสื้อผ้าของบาร์บี้ก็จะเก่าไม่ต่างจากเสื้อผ้าของพวกเรา พอเข้าปีที่ 5-6 แล้ว ชุดจะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้น เราก็ต้องซ่อมแซม อย่างเช่นผ้าไหมก็ต้องใช้น้ำยาซักแห้งซัก แม้เสื้อผ้าตุ๊กตาจะเป็นเนื้อผ้าเช่นเดียวกับเราๆ ใส่ แต่จะมีความพิถีพิถันมากกว่า โดยใช้น้ำยาซักผ้าซัก ตามด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่ม และนำมารีดให้เรียบ ฝากท้ายให้คนที่อยากสะสมสาวน้อยหน้าคมคนนี้ว่า ถ้าอยากให้บาร์บี้มีชีวิตเจ้าของก็อย่าลืมใส่ใจและความรักให้เธอด้วย...............ปอนด์ 47ปีที่แล้ว เมื่อเธอถือกำเนิดขึ้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากนั้น หญิงสาวอกโต-เอวกิ่ว ที่มีความสูง ไม่ถึงหนึ่งฟุต จะกลายเป็นแรงบันดาลใจ ของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ปอนด์ นำเสนอเรื่องราว ของบาร์บี้ ตุ๊กตาสาวสวย ที่เป็นที่มา ของธุรกิจพันล้าน และการครอบงำ ทางวัฒนธรรม ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ณ เวลานี้ ทุกหนแห่งทั่วโลกถูกจุดประกายด้วยความฝันสีชมพูหวาน จากมือน้อยๆ ของนางฟ้าแห่งโลกจินตนาการ...เธอเป็นได้ทั้งเจ้าหญิงผู้เลอโฉม หรือราชินีแห่งแคทวอล์คผู้งามสง่า เป็นตำรวจ ผู้เข้าชิงตำแหน่งประธาธิบดี นักฟุตบอลหญิง พี่เลี้ยงเด็ก หรือเธอจะโบยบินไปยังอวกาศนอกโลกก็ยังได้ บาร์บี้..เธอเป็นได้ทุกสิ่ง อย่างที่คุณอยากเป็น ตุ๊กตาบาร์บี้ ถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อปี 1959 ในงานอเมริกัน ทอย แฟร์ ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพียงปีแรกของการเผยโฉมต่อสาธารณชน บาร์บี้สามารถสร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขาย 351,000 ตัว และนับแต่นั้น เจ้าของใบหน้าอันสวยหวาน ผมยาวสลวย รูปร่างสูงโปร่ง และเสื้อผ้าอันงดงามหรูหรา ก็ได้รับตำแหน่งขวัญใจของเด็กหญิงทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ภาพลักษณ์อันหลากหลายของตุ๊กตาบาร์บี้ที่ผู้ผลิตบรรจงเสกสรรในแต่ละปี สามารถสนองความต้องการที่ไร้ขีดจำกัดบนกระแสการบริโภคนิยม ทำให้เธอไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เป็นเพื่อนเล่นของเด็กหญิงเท่านั้น บาร์บี้ยังเป็นหนึ่งในของสะสมชั้นแนวหน้าราคาระยับ ที่บรรดานักสะสมต่างคว้าไขว่หมายปอง -1- สุนัน วิเศษกิจ อาจารย์และผู้จัดการ ABC เนอสเซอรี่ วัย 50 ปี นักสะสมตุ๊กตาบาร์บี้ตัวยง ด้วยจำนวนบาร์บี้ร่วม 3,000 ตัวที่เธอมี สุนัน เล่าว่า เธอใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากเป็นเจ้าของตุ๊กตาบาร์บี้ แต่ก็ต้องรอจนอยู่ในฐานะที่จะซื้อได้ ซึ่งก็ล่วงเลยสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว แม้กระนั้นความชื่นชอบหลงใหลในเสน่ห์ของบาร์บี้ก็ไม่เคยจางหาย ในที่สุดเธอก็ได้เป็นเจ้าของบาร์บี้ตัวแรกในชีวิตเมื่อไปฮันนีมูนที่ฮ่องกง นั่นคือ บาร์บี้สีชมพูที่ชื่อ Happy Holiday "เริ่มสะสมมาตั้งแต่ปี 2521 ตอนนั้นซื้อเพราะความชอบ พอเริ่มซื้อเรื่อยๆ ก็ชักเยอะ ตอนนี้มีกำลังซื้อมากขึ้น พอมีรุ่นไหนออกมาแล้วชอบ ก็จะซื้อ อย่างสามีเวลาไปดูงานต่างประเทศ หรือเพื่อนๆ ที่รู้ เขาก็จะซื้อมาฝาก อย่างที่อินเดีย ตุ๊กตาบาร์บี้ บางตัวจะไม่มีขายทั่วไป เวลาไปเจอก็จะซื้อมา" นักสะสมบาร์บี้ผู้นี้เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่า ในแต่ละเดือน โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลัง เธอหมดเงินไปกับการซื้อหาตุ๊กตาเฉลี่ยแล้วประมาณ 3 หมื่นบาท จนกระทั่งเธอได้ติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่รับบาร์บี้จากบริษัทแม่โดยตรง เพื่อนำเข้ามายังประเทศไทยอีกทีหนึ่ง ครั้งนั้นเธอหมดเงินไปร่วมแสนบาทแลกกับการเป็นเจ้าของตุ๊กตาบาร์บี้ร่วมร้อยตัว สุนัน คอยติดตามการปรากฏโฉมคอลเลคชั่นใหม่ๆ จากหนังสือ 'บาร์บี้บาซาร์' และพยายามตามซื้อมาโดยตลอด และถ้าหากไม่บรรลุความต้องการ เจ้าของบาร์บี้ร่วมสามพันตัว เล่าว่า เธอจะรู้สึกหงุดหงิดมาก "มีคนเขาถามเราว่า สติไม่ดีหรือเปล่า ไม่มีอะไรทำเหรอ ดูแลยิ่งกว่าลูกอีก แต่เราไม่โกรธ ก็บอกว่า ยิ่งอยู่กับตุ๊กตามากยิ่งไม่แก่ ที่สำคัญมันให้ความสุขทางใจ เหมือนเราสะสมเพชรทอง เมื่อเราทำงานเหนื่อย กลับบ้านมาดูตุ๊กตาก็จะหาย แล้วยังได้เรียนรู้ถึงความเป็นไปของประเทศต่างๆ เพราะด้านหลังกล่องตุ๊กตาจะมีข้อมูลประวัติให้เราได้เรียนรู้ แฟนประจำของบาร์บี้เผยความรู้สึก บริษัท Mattel ผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ จะแบ่งตลาดของตุ๊กตาบาร์บี้เป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ ตุ๊กตาที่เป็นของเล่นสำหรับเด็กหญิงเรียกว่า Play lines และบาร์บี้รุ่น Collectibles สำหรับนักสะสม ราคาและวัสดุที่ใช้ผลิตจะมีความแตกต่างกันพอสมควร เสน่ห์ของบาร์บี้จะอยู่ที่ความงดงามหรูหราของเสื้อผ้าตุ๊กตา ที่แต่ละปีจะมีดีไซเนอร์ชื่อดังจากห้องเสื้อชั้นนำระดับโลกทยอยออกแบบให้ ทั้งยังสร้างจากวัสดุพิเศษ ที่มีความเปราะบาง แตกหักได้อย่าง Silk Stone ในประเทศไทย บริษัท Diethelm รับหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ ราคาบาร์บี้สำหรับเด็ก ประมาณตัวละ 400-500 บาท หากเป็นรุ่น Collectibles จะมีราคา 1,100 บาทขึ้นไป โดยทั้งสองสไตล์จะมีแบบใหม่ๆ ออกมาทักทายคุณหนูนักสะสมทุกปี ผู้ชายที่สะสมตุ๊กตาบาร์บี้ส่วนใหญ่ จะเป็นนักสะสมจริงๆ แตกต่างจากผู้หญิงที่นำเอามาเล่น ทำให้สภาพเสื่อมไป ศักดิ์ชัย แก้วจินดา นักธุรกิจหนุ่มวัย 2ปี นักสะสมตุ๊กตาบาร์บี้ กล่าวอีกมุมหนึ่งว่า หนึ่งในจำนวนตุ๊กตาบาร์บี้กว่า 300 ตัวที่เขามีนั้น ที่ขาดไม่ได้ คือ บาร์บี้ Empress Bride ฝีมือการออกแบบของ Bob Mackie ที่เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของนักสะสม ลำบากพอสมควรกว่าจะได้มา ขณะนี้ราคาในท้องตลาดน่าจะอยู่ที่ 4-5 หมื่นบาท ศักดิ์ชัย ให้เหตุผลว่า ที่ Empress Bride มีราคาแพง เนื่องจากเป็นฝีมือการออกแบบของดีไซเนอร์ชื่อดัง ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการประดับชุด ทำให้ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด ส่งผลให้หายาก ความต้องการสินค้าจึงมีมาก คงตอบไม่ได้ว่ารุ่นไหนของบาร์บี้ที่มีราคาแพงหรือหายากที่สุด เนื่องจากความต้องการของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป อย่างบางรุ่นตัวเราอาจจะอยากได้ แต่คนอื่นไม่ต้องการ บาร์บี้มีวิวัฒนาการแต่ละปี ทุกๆ ปีเขาก็จะเปลี่ยนไป ตามยุคตามสมัยตามแฟชั่นของเขา ไม่เคยล้าหลัง เธอจะเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ วิ่งตามแฟชั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่นั่งอยู่เฉยๆ เราสามารถดูได้จากเสื้อผ้าที่เธอใส่ในแต่ละยุคแต่ละปีที่ผลิตขึ้นมา มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามแต่ละยุคสมัยนั้นๆ ศักดิ์ชัยอธิบาย มารยาท ศักดิ์ศิริ ดีไซเนอร์จากห้องเสื้อมารยาท เผยถึงการเป็นผู้นำตุ๊กตาบาร์บี้มาสวมชุดฝีมือดีไซเนอร์ไทยเป็นครั้งแรก ว่า เธอเป็นคนชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยใช้เวลาว่างจากการตัดเสื้อผ้าให้คนใส่มาจับตุ๊กตาแต่งตัว ซึ่งเธอใส่รายละเอียดของเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาไม่แพ้คนจริงๆ การดีไซน์ส่วนมากจะเป็นแบบที่เราทำเสื้อผ้าให้กับผู้ใหญ่ ให้กับคนมาก่อน จะมาจากแบบเสื้อผ้าคนในร้าน เหมือนกับเราย่อแบบลงมา ขายแบบให้ผู้ใหญ่ ให้เด็กเสร็จ แล้วเราก็ทำชุดให้ตุ๊กตาเก็บไว้ดู ความพิเศษที่ทำเสื้อผ้าตุ๊กตาบาร์บี้ของที่ร้าน จะเน้นความโดดเด่นให้เข้ารูปร่าง มีการตัดเย็บเหมือนคนทั้งหมด จะตัดเย็บที่ด้านในด้วย และเน้นที่ถอดเปลี่ยนได้ การทำให้ตุ๊กตามันจะยากตรงการตัดเย็บ เพราะตัวเขาจะเล็กมาก ถ้าเราเย็บพลาดไปฝีจักรนึง มันก็ต้องแก้ใหม่หมด มารยาทให้ความเห็นว่า ตุ๊กตาบาร์บี้ใส่ชุดไทยที่ผลิตโดยบริษัทแม่นั้นไม่ได้ใช้ผ้าไทย ดูแล้วไม่มีความโดดเด่นเท่ากับบาร์บี้ที่ใส่ชุดประจำชาติ เช่น ของจีน และอินเดีย ทางร้านจะเน้นตรงที่ผ้าไทย เพราะผ้าไทยมีเอกลักษณ์ที่สวยงาม อย่างแบบที่ทำที่เมืองนอก ส่วนมากมันจะเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมเขา ชุดประจำชาติเขา ที่ร้านก็จะพยายามหาสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่อิงกับเอกลักษณ์ของชาติอื่นมากไป อยากโชว์ความสวยของผ้าไทย" "บาร์บี้เป็นตุ๊กตาที่สวย ดัง หุ่นดี อยู่มานาน เวลาที่ทำเสื้อผ้าให้บาร์บี้ก็อยากจะให้เป็นแรงกระตุ้นให้เด็กไทยมาสนใจผ้าไทยมากขึ้น เขาสามารถเป็นนางแบบได้อย่างดี ถ้ามีคนหุ่นแบบเขาจริงๆ ก็คงเพอร์เฟค" เจ้าของห้องเสื้อชื่อดังกล่าว ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคงของประเทศไทย ตุ๊กตาบาร์บี้ถือได้ว่าเป็นสินค้านำเข้าราคาสูงรายการหนึ่ง สำหรับนักสะสมเข้าสายเลือดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี เช่น สุนัน แทบไม่มีผลอะไร แต่สำหรับ จารุพันธุ์ อาจศิริ นักออกแบบตกแต่งภายใน วัย 37ปี ผู้นิยมบาร์บี้อีกรายหนึ่ง รับว่า ต้องพิจารณาเลือกซื้อเฉพาะตัวที่ถูกใจจริงๆ "สภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้มีผลมาก เราก็จะประหยัด ซื้อน้อยลง ซื้อเฉพาะตัวที่เราสนใจ เราชอบจริงๆ ตัวที่ราคาสูงเกินไป อย่างเมื่อก่อนตัวไหนออกมาถูกใจเราก็จะซื้อเลยโดยวิธีใดก็ตาม แต่ทีนี้เราก็จะมานั่งคิดมากขึ้น ซื้อช้าลง ดูจากสภาวะเศรษฐกิจที่เราต้องดูแลค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย" เมื่อถามถึงคุณค่าของการสะสมบาร์บี้ ว่า อยู่ที่ปริมาณที่มาก หรือรุ่นที่หายากใช่หรือไม่ ศักดิ์ชัย นักสะสมที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มทิ้งท้ายว่า "คุณค่าของบาร์บี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวน ราคา อยู่ที่ตัวคนสะสมนั้นว่าชอบมากน้อยแค่ไหน ตุ๊กตาแต่ละตัวแต่ละรุ่นมีค่าเท่ากัน ไม่ว่ามูลค่าของเธอจะกี่สิบบาท เธอมีค่าในตัวของเธออยู่แล้ว คุณค่าจะมากน้อยก็อยู่ที่คนสะสมจะมองเห็นคุณค่าในตัวของเธอ" 2- นั่นอาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงแรงบันดาลใจที่บาร์บี้สามารถสรรค์สร้างขึ้นให้กับผู้นิยมชมชอบ เช่นเดียวกันกับการสร้างอุดมคติทางความงามให้กับหนูน้อย หรือสาวเล็กสาวใหญ่ที่จะจินตนาการไปถึงการมีรูปร่าง ใบหน้างดงามไร้ที่ติของบาร์บี้ อย่างที่เคยเป็นกรณีที่โด่งดังมาแล้วว่า หญิงสาวชาวอเมริกันศัลยกรรมใบหน้าให้เหมือนกับตุ๊กตาบาร์บี้ ถ้าหากขยายภาพตุ๊กตาสามมิติ เช่น บาร์บี้มาสู่คนที่มีเนื้อมีหนังจริงๆ ด้วยขนาดความสูงขนาด 5 ฟุต 6 นิ้ว ตามมาตรฐานสาวอเมริกัน บาร์บี้จะมี+++ส่วน คือ อก 39 นิ้ว เอว 18 นิ้ว และสะโพก 33 นิ้ว ซึ่งเป็นได้เพียง+++ส่วนในฝันของหญิงสาวเท่านั้น "มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าหน้าอกเธอใหญ่มาก และช่วงขาเธอเล็ก เล็กเกินกว่าที่ผู้หญิงจะยืนจริงๆ ได้ สะโพกเธอก็จะใหญ่เกินกว่าความเป็นจริง เป็น+++ส่วนในฝันของผู้หญิง เท้าเธอจะเล็กมาก ถ้าเทียบกับสะโพก หน้าอก ช่วงแขน" ศักดิ์ชัย อธิบาย ประเด็นดังกล่าว กลุ่มสตรีที่มีมุมมองแบบสตรีนิยม (feminist perspective) วิพากษ์วิจารณ์ว่า ตุ๊กตาบาร์บี้ทำให้เด็กผู้หญิงไม่คำนึงถึงการมีสมอง แต่ใฝ่ฝันอยากจะมีรูปร่างที่ยากจะเป็นไปได้ นั่นเป็นสาเหตุให้บริษัท Mattel พยายามจะปรับปรุงตุ๊กตาบาร์บี้ให้ออกมาในหลากหลายรูปแบบอาชีพ เช่น แพทย์ ตำรวจหญิง นักบินอวกาศ ทหาร รวมทั้งผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์อาชีพที่ต้องใช้สมอง รวมทั้งผลิตตุ๊กตาในหลากหลายผิวสี เพื่อสอดคล้องกับวัยรุ่นในทุกพื้นที่ทั่วโลก และชุดประจำชาติของชนชาติต่างๆ เพื่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาตรี ลีศรีวิทย์ นักศึกษาปริญญาโทสตรีศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ เคยเขียนในบทความระดับรางวัล ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดี ว่า ตุ๊กตาบาร์บี้มีความหมายที่สามารถพิจารณาได้ในสองระนาบ คือ 'ความเป็นของเล่น' และ 'มายาคติ' โดยตุ๊กตาบาร์บี้มีความนัยในระดับวัฒนธรรมที่แย้งย้อนอยู่ในตัวเอง เช่น บาร์บี้ในชุดพนักงานแมคโดนัลด์ สื่อความหมายของวิถีการบริโภคอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด สภาวะโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม โดยมีบรรษัทข้ามชาติอยู่เบื้องหลัง หรือบาร์บี้ในชุดประจำชาติต่างๆ เช่น สเปน ญี่ปุ่น ไทย สื่อความหมายว่า มนุษย์ล้วนแต่สังกัดอยู่กับเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และอัตลักษณ์ประจำชาติ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการชดเชยการสูญหายไปของวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นในบริบทโลกาภิวัตน์ "การเสนอภาพวัยรุ่นในหน้าที่การงานเกินวัย รวมทั้งน้อง, แฟนของบาร์บี้ ผลิตมาทีหลังบาร์บี้นับสิบๆ ปี แต่บาร์บี้ก็ยังคงความสาวอยู่เท่าเดิม น่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ถูกกลบเกลื่อนไว้ เด็กถูกปลูกฝังโดยพยายามใส่สิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ลงไป จะถูกหรือผิดผมคงบอกไม่ได้ อาจเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตที่สอดแทรกสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว" ชาตรี ให้ความเห็น อย่างไรก็ตาม รูธ เจ้าของความคิดการสร้างสรรค์ตุ๊กตาบาร์บี้ที่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว เขียนไว้ในหนังสือชีวประวัติของตัวเอง เมื่อ พ.ศ.2537 ว่า บาร์บี้ไม่ใช่แค่เครื่องเล่นของเด็กผู้หญิงที่ฝันอยากจะโตเป็นหญิงสาวในแบบดังกล่าว แต่บาร์บี้หมายความถึงพลังของผู้หญิงด้วย โดยปรัชญาของบาร์บี้ที่พยายามสื่อออกมา ก็คือ ให้เด็กๆ รู้สึกว่า พวกเขาสามารถเป็นได้ทุกอย่างอย่างที่ต้องการ บาร์บี้เป็นมากกว่าตุ๊กตา เพราะขนาดอเมริกายังให้บาร์บี้เป็นส่วนหนึ่งของฮอลลีวู้ด เพราะฉะนั้นเธอก็คงไม่ใช่เป็นแค่ตุ๊กตา เธอเป็นเหมือนกับฮีโร่ของเด็กๆ" จารุพันธุ์ เน้นย้ำ โดยชี้ให้เห็นถึงกรณีที่ตุ๊กตาบาร์บี้สามารถโลดแล่นอยู่ในโลกภาพยนตร์ รวมทั้งการที่บาร์บี้ได้รับเกียรติให้จำลองใบหน้าของดาราฮอลลีวู้ด เช่น ออเดย์ แฮบเบิร์น, แฌร์ นักร้องชื่อดัง กระแสการต่อต้านตุ๊กตาบาร์บี้ถูกกลบเกลื่อนด้วยยอดขายจากทั่วโลก แต่ละปี 'Barbie Festival' หรืองานรวมพลคนรักบาร์บี้ ถูกจัดขึ้นในหลายประเทศ หมู่ผู้คลั่งไคล้จะแต่งกายเลียนแบบตุ๊กตาบาร์บี้มาประชัน แลกเปลี่ยนของสะสมและทัศนคติที่มีต่อตุ๊กตาในดวงใจ และคาดว่า จะมีเม็ดเงินมากมายไหลสะพัด.. แม้แต่ประเทศไทยเอง ยังเป็นที่แรกที่มีตุ๊กตาบาร์บี้ประดับเพชรออกมาเฉิดฉาย นับตั้งแต่ปี 1959 วัยเด็กของแต่ละยุคสมัยผ่านพ้นไป จะมีเด็กหญิงสักกี่คนในโลกที่ไม่เคยมีความฝันสีชมพู ในปัจจุบันตุ๊กตาบาร์บี้มีจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก มี ยอดจำหน่ายมากกว่า 1 พันล้านตัว โดยในทวีปอเมริกา สหรัฐอเมริกาขายดีที่สุด ส่วนในทวีปยุโรป ขายดีที่ฝรั่งเศส ทวีปเอเชีย ประเทศที่ครองแชมป์ยอดจำหน่ายบาร์บี้สูงสุด ก็คือ ประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้วิเคราะห์ข้อมูลการจำหน่ายไว้ว่า ทุก ๆ 1 วินาที บาร์บี้จะถูกจำหน่ายออกไป 3 ตัว ของบางประเทศในโลก ในเรื่อง เคล็ดลับการเลือกซื้อ และการดูแลรักษาบาร์บี้ ปอนด์ ได้เอ่ยแนะนำทิ้งท้ายว่าสำหรับน้อง ๆ ที่สนใจจะเลือกซื้อแล้วดูไม่ออกว่าอันไหนของจริง หรือของลอกเลียนแบบ อันดับแรก ดูที่แบรนด์ที่ผลิต บาร์บี้ของจริงจะต้องเขียนคำว่า “Barbie” อันดับสองดูที่รูปลักษณ์สินค้า กล่องใส่จะต้องสวยงาม พร้อมมีตรามาตรฐานคำว่า Mattel และประการสุดท้ายคือลักษณะสินค้าต้องมีรูปแบบการตัดเย็บที่ประณีต ในส่วนของเทคนิคการเก็บรักษา ควรเก็บบาร์บี้ไว้ในตู้ที่มิดชิด นาน ๆ ครั้งหยิบมาปัดฝุ่น เก็บให้พ้นจากแสงแดด ขณะเดียวกันก็ควรเก็บให้พ้นจากฝุ่นละออง ควันบุหรี่ หรือสารที่มีความเค็ม เช่น ดินหรือทรายที่มาจากทะเล เพราะสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับเครื่องประดับตุ๊กตา เช่น ต่างหู สร้อยคอ จะทำให้สีเปลี่ยนเป็นสีดำได้ และนี่ก็คือเรื่องราวบางส่วนของ “บาร์บี้” ตุ๊กตาในดวงใจของเด็กผู้หญิงทั้งหลายที่เชื่อหรือไม่ว่า แม้วันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด... แต่คุณค่าและความหมายไม่เคยเปลี่ยนแปลง. ตุ๊กตาบาร์บี้ นับเป็นสุดยอดของเล่นในดวงใจของเด็กผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดมาเนิ่นนานนับตั้งแต่ถือกำเนิด ด้วยเสน่ห์ความสวยหรู สง่างามชวนหลงใหล น่ารัก สดใส และทันสมัยตลอดเวลา ทำให้ปัจจุบันไม่เพียงแต่บาร์บี้จะเป็นของเล่นแสนรักของเด็กสาวตัว เล็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นของสะสมอันทรงคุณค่าของคนรักตุ๊กตาทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ที่เรียกได้ว่า ไม่ว่าคอลเลกชั่นไหนออกมา แฟนจ๋าตัวจริงทั้งหลายเป็นต้องซื้อหามาเก็บไว้เป็นเจ้าของ ตลอดจนเรื่องราวการถือกำเนิด และวิวัฒนาการบาร์บี้ที่น่าสนใจว่า... ที่รักบาร์บี้เพราะบาร์บี้ไม่เพียงแต่จะเป็นตุ๊กตาที่เติมเต็มจินตนาการของเด็กสาวทุกคน เช่น คนที่ชอบแต่งตัว บางครั้งในชีวิตจริงไม่สามารถที่จะแต่งชุดเลิศหรูไปทำงาน หรือไปเที่ยวได้ ก็จะแต่งแต้มความรู้สึกนั้นที่บาร์บี้ซึ่งมีชุดโน้นชุดนี้สวยงามหลากสไตล์ให้เลือกใส่เท่านั้น แต่บาร์บี้ยังเป็นตุ๊กตาที่มีตำนาน มีประวัติการถือกำเนิด มีการเปลี่ยนรูปโฉม รูปแบบการผลิต วัสดุที่ใช้ในการผลิต และเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้ได้ศึกษาเรียนรู้มากมาย บาร์บี้ที่ผลิตออกมาในยุคนั้นจะมีลักษณะรูปหน้าโบราณ โดยนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันสามารถจำแนกรุ่นบาร์บี้ได้เป็น 2 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ คือ รุ่น Vintage Barbie จัดเป็นบาร์บี้รุ่นแรก ผลิตขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1959-1975 ส่วนอีกรุ่นหนึ่งเรียกว่ารุ่น Modern Barbie ผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งรุ่นนี้จะแบ่งย่อยออกไปอีกเป็นหลายหมวดหมู่ เช่น Children, Desig ner หรือเป็นซีรี่ส์ตามดาราหนังเป็น World Culture เจ้าหญิงนานาชาติ ฯลฯ ในเรื่องรูปแบบการผลิตได้มีการจำแนกการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ออกเป็น 3 ประเภท คือรุ่น Play Line หรือรุ่นเจ้าหญิงต่าง ๆ รุ่นนี้จะเหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะราคาไม่แพงมาก โดยสนน ราคาอยู่ที่ 400-1,000 บาท สูงขึ้นมาอีกนิดเป็นรุ่น Collector Edition ราคาประมาณ 2,000-4,000 บาท และรุ่น Limited Edition ราคาตกอยู่ที่ 4,000-10,000 บาท วัสดุที่ใช้ในการทำผิวบาร์บี้มี 3 ชนิดด้วยกัน คือ ทำด้วยพลาสติก ไวนิล กระเบื้องเคลือบ และซิลค์สโตน การเลือกซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ ถ้าซื้อในต่างประเทศจะถูกกว่าที่เมืองไทยประมาณ 30% โดยที่อเมริกาเป็นแหล่งที่ซื้อได้ถูกที่สุด ส่วนประเทศในเอเชียที่คนนิยมไปซื้อก็ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ตุ๊กตาบาร์บี้ นับเป็นตุ๊กตาที่ไม่ตกยุค มีความอินเทรนด์ตลอดเวลา จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนโฉมหน้ามาแล้วถึง 4 ครั้ง เช่น มีการเพิ่มขนตา รูปหน้า รอยยิ้มที่มีทั้งแบบยิ้มเปิดปาก ปิดปาก รูปแบบบาร์บี้ที่เป็นที่นิยมของเด็กผู้หญิงไทย ส่วนใหญ่จะเป็นบาร์บี้เจ้าหญิง และแฟชั่นฟีเวอร์ซึ่งเปลี่ยนชุดได้ ในปัจจุบันตุ๊กตาบาร์บี้มีจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก มี ยอดจำหน่ายมากกว่า 1 พันล้านตัว โดยในทวีปอเมริกา สหรัฐอเมริกาขายดีที่สุด ส่วนในทวีปยุโรป ขายดีที่ฝรั่งเศส ทวีปเอเชีย ประเทศที่ครองแชมป์ยอดจำหน่ายบาร์บี้สูงสุด ก็คือ ประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้วิเคราะห์ข้อมูลการจำหน่ายไว้ว่า ทุก ๆ 1 วินาที บาร์บี้จะถูกจำหน่ายออกไป 3 ตัว ของบางประเทศในโลก และนี้ก็เป็นเรื่องราวเล็กๆน้อยๆบางส่วนเท่านั้น ประวัติของเธอจะไม่มีวันหยุดนิ่งเมื่อทุกคนยังมีความฝันสีชมพู............... ตลอดไป

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552






หลังจากที่เจ้าตุ๊กตาบลายธ์เข้ามาครองใจทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น จนถึงสูงวัย ทั้งแบบราคาย่อมเยา จนถึงราคาสูงแบบลิมิเต็ด สำหรับคนที่กระเป๋าหนักโดยเฉพาะ ใครที่กระเป๋าบางคงต้องเก็บเงินอีกนานกว่าจะได้รุ่นในแบบที่ฝัน แต่มี "ทางออก" ของคนรักตุ๊กตาบลายธ์แล้ว โดยไม่ต้องเสียเงินสูงๆ แต่สามารถทำให้ตุ๊กตาบลายธ์ของตัวเองเปลี่ยนรูปโฉมให้เหมือนบลายธ์ลิมิเต็ดได้ ด้วยการ "คัสตอม" หรือการ "ศัลยกรรมบลายธ์" จึงกลายเป็นงานสุดฮิตที่เหล่าคนรักตุ๊กตาบลายธ์เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพราะสามารถทำตุ๊กตาบลายธ์ราคาย่อมเยาของตัวเองให้แปลงโฉมเป็นตุ๊กตาบลายธ์ คล้ายรุ่นลิมิเต็ดได้อย่างง่ายดาย เมื่อทุนน้อย แต่ได้ตุ๊กตาบลายธ์ที่มีราคาสูงขึ้น ย่อมเป็นที่สนใจอยู่แล้ว อีฟ-ศิริธร อุปเสน รับศัลยกรรมตุ๊กตาบลายธ์ หรือน้องบลายธ์แสนรักของทุกคน บอกว่า ตัวเองเป็นคนชอบเล่นตุ๊กตาบลายธ์เหมือนกัน ชอบแต่งตัวแบบใหม่ๆ แต่เสียดายที่เปลี่ยนหน้าตาไม่ได้ บางทีอยากได้แบบที่โชว์ตามเว็บแต่ไม่มีขายในประเทศไทย จนเห็นว่าที่ประเทศญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ มีการแนะนำทำศัลยกรรมตุ๊กตาบลายธ์ หรือการคัสตอม จึงลองดู โดยเรียนรู้วิธีทำจากอินเทอร์เน็ต
"อีฟเริ่มศัลยกรรมกับตุ๊กตาบลายธ์ของตัวเองก่อน จนชำนาญจึงเปิดรับทำศัลยกรรมให้กับคนที่สนใจ โดยมีเด็กตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนถึง 50 ปี ที่มาทำศัลยกรรมบลายธ์ สาเหตุที่มาทำกันนั้นส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนรูปลักษณ์บลายธ์ของตัวเอง และซื้อมาราคาถูก ค่อยมาทำศัลยกรรมให้เหมือนรุ่นลิมิเต็ดที่มีราคาแพง แต่ใครที่ซื้อบลายธ์ราคาแพงมาแล้ว หรือรุ่นลิมิเต็ดจะไม่เอามาทำศัลยกรรม" ส่วนใหญ่อวัยวะที่คนรักบลายธ์จะนำมาศัลยกรรมนั้น อีฟบอกว่า จะทำหน้าผิวหน้าให้ด้าน แต่งหน้าใหม่ เปลี่ยนขนตา เปลี่ยนสีผิว ตัดผม ทำสีผม เหลาปากแต่ส่วนที่ไม่ค่อยทำกันคืออายคลิป บางคนเสียดายหน้าเดิม แต่อยากให้บลายธ์ถ่ายรูปขึ้นก็มาทำผิวตุ๊กตาให้ด้านจะทำให้ถ่ายรูปสวยขึ้น "ลูกค้าที่ทำศัลยกรรมจะเอาแบบมาให้ดู หรือตั้งโจทย์ให้เราทำ แต่ต้องบอกก่อนว่าอาจไม่ออกมาเหมือน 100% เพราะว่าสีที่ทำผสมนั้นจะเป็นแฮนด์เมกทั้งหมด อาจผสมสีได้ไม่เหมือนจริง แต่จะทำให้ใกล้เคียงมากที่สุด เครื่องมืออุปกรณ์ก็หาได้ในไทย เว้นอุปกรณ์บางชิ้น เช่น เลนส์ตา ผม อุปกรณ์ที่อยู่ส่วนหัวทั้งหมด ต้องสั่งจากต่างประเทศ" นอกจากนี้คนทำศัลยกรรมบลายธ์ยังบอกเทรนด์ที่คนรักบลายธ์ชอบทำศัลยกรรมมากที่สุด คือ การเหลาปาก ให้รูปปากเล็กๆ ตัดผมม้า ทำบิ๊กอาย ให้หน้าตาแบ๊วขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ที่ฮิตใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น แถมเทรนด์ที่กำลังตามมาอย่างต่อเนื่อง คือ "การแปลงเพศ" เพราะตุ๊กตาบลายธ์เป็นผู้หญิง คนจึงนำมาแปลงเพศให้หน้าตา ผิวพรรณ ทรงผมเป็นผู้ชาย เพื่อมีบลายธ์ผู้ชายและผู้หญิงคู่กัน ส่วนราคาศัลยกรรมนั้นมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน แล้วแต่อุปกรณ์วัสดุที่จะเปลี่ยน เป็นราคาที่ถือว่าถูกสำหรับคนรักบลายธ์มากๆ แถมเมื่อเปลี่ยนให้บลายธ์สวยงามแล้ว เมื่อนำไปประมูลยังทำให้ราคาสูงขึ้นอีกด้วย จึงทำให้การศัลยกรรมบลายธ์เป็นที่นิมยมเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถนำมาหลอกคนอื่นได้ว่าเป็นบลายธ์รุ่นลิมิเต็ด เพราะการศัลยกรรมจะมีร่องรอยอยู่ จึงหลอกคนซื้อไม่ได้ แม้จะเป็นที่นิยมสูง แต่ "อีฟ" ศิริธร บอกว่า ศัลยกรรมบลายธ์ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่การทำวิธีบางอย่างก็ยากเช่นกัน เช่น ทำผมทรงแปลกๆ หรือลูกค้าอยากเหลาปากให้เล็ก พอเหลาแล้วอยากเหลาอีกก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นก่อนทำต้องตัดสินใจดีๆ "อยากฝากให้คนที่อยากทำศัลยกรรมบลายธ์หรือคัสตอมว่า ก่อนมาทำขอให้ดูความชอบของตัวเองก่อนว่าอยากเปลี่ยนแปลงอะไร และชอบตรงนั้นจริงๆ ที่สำคัญอย่าไปเสียดายหน้าเดิมๆ หากตัดสินใจจะทำแล้ว รวมทั้งเลือกช่างที่เราไว้ใจ ดูผลงานที่ผ่านๆ มา บางทีทำกับคนที่ไม่รู้อาจไม่ถูกใจ พอแก้ไขจะลำบาก ซึ่งแก้แล้วแก้อีกจะทำให้ตุ๊กตาช้ำได้ และถ้าโดนทินเนอร์บ่อยๆ มีสิทธิทำให้ร้าวเช่นกัน" เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่รักตุ๊กตาบลายธ์

หากจะพูดถึงของสะสม ตอนนี้คนไทยหันกลับมาเล่นตุ๊กตาอีกครั้ง จากที่บาร์บี้ (Barbie) เงียบหายไปจนเหลือกลุ่มแฟนพันธุ์แท้จริงๆ เท่านั้น ตอนนี้บลายธ์ (Blythe) ขอกลับมาทวงบัลลังก์ของสะสมของคุณหนูๆ ไม่สิ ของคนทุกวัย ดูจะเหมาะสมกับ"ราคา"มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีตุ๊กตาสุดฮอตแบบใหม่ สายพันธุ์เกาหลีมา อาทิ พูลลิป (pullip) แทยัง (Taeyang) เดล (Dal) จากบริษัท Jun Planning หรือแม้แต่ลูมิ (Lumi) ผลิตโดยบริษัท Lati ก็กลายเป็นที่คลั่งไคล้ของชาวโลกไซเบอร์ขณะนี้
บลายธ์ประจำร้าน
แก๊งตุ๊กตาบ้านพี่ก้อย
พี่ก้อยลงมือ custom
พี่อ้อ-สงกรานต์ จรรจลานิมิตร เจ้าของร้าน Seapimtadolls เล่าถึงที่มาของการเริ่มต้นธุรกิจขายตุ๊กตาว่า ช่วงแรกๆ เริ่มจากการขายส่ง จากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ แล้วจึงเปิดร้านในที่สุด ซึ่งที่ร้านเริ่มขายตุ๊กตาของเกาหลี เน้นที่พูลลิปมากกว่าบลายธ์ แต่ออร์เดอร์สั่งสินค้าก็ได้รับความนิยมทั้ง 2 กลุ่ม ใกล้เคียงกัน ส่วนตัวที่ภูมิใจก็ต้องเป็นสุดยอดของบลายธ์ อันนี้เขาทำครบรอบปีที่ 6 และราคาแพงที่สุดในทุกปี พิเศษตรงที่มีสาย 2 เส้น ทำให้สามารถหลับตาค้างได้ วัสดุที่ใช้ทำขนตาก็จะแตกต่าง เปลือกตามีสี และเป็น Limited Edition ผลิตแค่ 3,000 ตัว ซึ่งตอนที่คุณจุนโกะ (Junko Wong) ประธานกรรมการบริษัท CWC ประเทศญี่ปุ่น (บริษัทที่นำบลายธ์มาผลิตอีกครั้ง) มาที่เมืองไทยได้เซ็นชื่อไว้ให้ด้านหลังตุ๊กตาตัวนี้"ส่วนเดล (Dal-Drta) ตัวนี้หายากตรงที่เป็นรุ่นแรก ส่วนพูลลิปก็ต้องเป็นรุ่น Pullip Greggia ส่วนตุ๊กตาผู้ชายอย่าง"แทยัง" ก็เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เช่นกัน" พี่อ้อ บอกอีกว่า ตุ๊กตาบลายธ์ตอนนี้ คนนิยม Custom (Customize) ขัดหน้าเอาความมันออก เจาะปากใส่ฟัน เหลาคาง เติมกระไฝ แต่ให้ที่ร้านรับทำดีกว่า โดยปกติแล้วที่ร้านเอง ก็มีการนัดลูกค้าและเพื่อนๆ ที่นิยมเล่นตุ๊กตาเหมือนกันมาที่ร้าน แล้วช่วยกันตกแต่ง มาแลกเทคนิคกัน อย่างการแต่งหน้าก็ใช้เครื่องสำอาง ใช้พวกสีทาโมเดล แล้วใช้แอร์บรัชพ่น เรื่องนี้ต้องใช้ฝีมือในการปรับสีอ่อนเข้ม ตัวนี้ใช้ทำกระได้ด้วย ถ้าเป็นคนที่ลองแต่งให้ใช้สี Soft Pastel เนื้อละเอียดดีกว่า แต่ราคาจะค่อนข้างสูง หากจะลบหน้าออกให้ใช้กระดาษทรายน้ำเช็ด Make-up แนะนำว่าให้ลองแต่งไปเลย เพราะแก้ไขได้
3 ตัวสุดแพงประจำร้านSeapimtadolls
ตุ๊กตาบริษัท Jun Planning
พี่อ้อ บอกว่า ส่วนตัวแล้วสะสมหมด รวมทั้งตุ๊กตาบาร์บี้ยอดนิยม จนถึง Diva Starz สืบเชื้อสายจากตระกูลบาร์บี้ ช่วงแรกขายอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ตอนนี้ไม่ผลิตแล้ว สำหรับบลายธ์เกิดจริงๆ ที่สหรัฐฯ ปี 1972 แต่ผลิตมาได้ปีเดียวก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นหน้าตายังน่ากลัว จนต้องเลิกผลิตไป ต่อมาบริษัทของประเทศญี่ปุ่นนำมาผลิตใหม่ในปี 2001-2002 ส่วนเดลผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 2006 แต่ลูมิทางร้านไม่นำเข้า เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง ปกติแล้วลูกค้าจะสั่งมากกว่าด้านพี่ก้อย-ดริน นพนิราพาธ นักสะสมตุ๊กตาตัวยง เมื่อย่างกรายเข้าไปในบ้านที่ดูเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่พอพี่ก้อยนำตุ๊กตาหลากหลายชนิดมาอวด เราถึงขั้นอ้าปากค้าง"พี่เริ่มสะสมของจิ๋วมาตั้งแต่เด็ก แสตมป์ก็มีเยอะ พวกของเล็กๆ พี่สะสมมาเป็น 10 ปีแล้ว เริ่มจากของแถมในร้านฟาสฟู้ด ช่วงแรกๆ ซื้อจากเมืองนอก แล้วก็มาซื้อของจิ๋วที่ไทยทำเอง ทำจากวัสดุจริง อย่างของจิ๋วต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเล่นกับอะไร จนมาเห็นว่า เขาเล่นกับตุ๊กตาอย่าง บลายธ์"
ตุ๊กตา Dream of doll
บาร์บี้ ซิลค์
บลายธ์ของพี่ก้อย
พี่ก้อย เล่าถึงที่มาการเริ่มสะสมตุ๊กตาว่า ตอนเด็กเริ่มจากบาร์บี้ สะสมจริงจังเมื่อช่วง 5 ปีที่แล้ว ต่อมาก็เป็นบาร์บี้ ซิลค์ (Barbie silkstone) ซึ่งเป็นของสะสมของผู้ใหญ่ มากกว่าด้วยราคาที่สูง ชุดหรูหรา ซึ่งรวมๆ มีบาร์บี้ประมาณ 100 ตัว ส่วนบรายธ์เห็นตอนแรกกลัว รู้สึกไม่ชอบเลย ตาก็โต หัวแบน แต่ชอบพูลลิปและเดล ซึ่งเดลและพูลลิปมีอย่างละ 20 ตัว แทยังก็มีนะ 8 ตัว จากนั้นเห็นบลายธ์บ่อยก็ชอบ Custom ได้ด้วยเลยสนุก ข้อดีอยู่ตรงนี้ เราเปลี่ยนสีตา ปาก แต่งหน้าใหม่ได้ บางคนเปลี่ยนบอดี้ (Body) ใช้ของตุ๊กตาชนิดอื่น ทำให้จัดท่าทางได้เยอะขึ้น มีรวมๆ 40 ตัวแล้ว"ส่วนราคาที่ถือว่าแพง สำหรับบาร์บี้มีรุ่นที่เป็นหมื่น ตัวที่หายากๆ คอลเลคชั่นเก่า ด้านบลายธ์ก็มีที่ราคา 20,000 บาท แต่ส่วนใหญ่ซื้อตอนที่ออกมาแรกๆ ราคาเลยไม่สูงมาก" พี่ก้อย ยังแนะนำให้เรารู้จักกับ Fashion Royalty เป็นตุ๊กตาที่คล้ายบาร์บี้ แต่ขยับข้อต่อได้ ราคาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังมีตุ๊กตาสั่งทำบริษัท Dream of doll ที่สั่งทำรวมราคานำเข้าสูงลิบ ผู้ชายความสูง 70 เซ็นติเมตร ราคา 30,000 บาท ส่วนผู้หญิงสูง 60 เซ็นติเมตร ราคากว่า 25,000 บาท ความแตกต่างของพวกตุ๊กตาสัญชาติเกาหลีจะอยู่ที่วัสดุ ซึ่งใช้เรซิ่นทำ สามารถแตกและเป็นรอยได้ แต่พวกนี้เปลี่ยนตัวและหัวได้ ซึ่งต้องอดทนรอ 1-3 เดือน ของจึงจะมาถึง
ตัวจิ๋วก็มี
fashion royalty
บลายธ์ที่พี่ก้อย Custom เองกับมือ
พวกชุดของตุ๊กตาทั้งหลาย พี่ก้อย บอกว่า มีทั้งที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่ของคนไทยเอง คุณภาพก็ดีไม่แพ้กัน สำหรับลูมิ พี่ก้อยก็สนใจ แต่ชอบเล่นไอ (AI) มากกว่า เพราะราคาถูก ยิ่งดู ยิ่งฟัง ก็ยิ่งมองตุ๊กตาเหล่านี้ เป็นมากกว่าของเล่น ซึ่งสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ "ใจรัก" และทะนุถนอมของที่มี นั่นคือสิ่งสำคัญที่เหล่านักสะสมอยากฝากไว้ ไม่ใช่เพียงอยากซื้ออยากได้แล้วนำมาทิ้งขว้าง เพียงเพราะตุ๊กตาไม่มี "หัวใจ"

ตุ๊กตาตุกตา

Who's that Girl ? Blythe อ่านออกเสียงว่า ' Blahyth ' หรือ ' Blind ' เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตาดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้ Blythe by Kenner ปี 1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องมีให้ Mix&Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น Gina Garan 30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan ( โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง Gina เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ' This is Blythe ' รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก The Japanese Blythe หลังจากที่ Hasbro ( ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ กระแส Blythe fever ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่ Gina กับ Junko Wong ( โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ) ได้ร่วมมือกันจัดนิทรรศการต่างๆที่เกียวกับ Blythe ขึ้น ก็ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano , Prada , Gucci , Vivienne Westwood , Issey Miyake , Versace , Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว ในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า ' Neo Blythes ' และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆของ Neo Blythes เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก ' Parco Limited Edition ' ( 1,000 ตัว ) ที่ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian , Rosie Red , Holly Wood , All Gold in One , Kozy Kape inspired , Aztec Arrival , Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 1 ปีของ Neo Blythes พร้อมเซอร์ไพรส์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า ' Petite Blythe ' ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆกับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆให้ดูมี Movement เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ถือว่าโดดเด่นและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly , Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว ' Blythe Belle ' ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น Blythe Bodies BL : ในช่วงปี 2001-2002 Neo Blythe ได้ผลิตออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตุ๊กตาที่มีอิทธิผลต่อแวดวงแฟชั่น ด้วยบอดี้แบบตุ๊กตา Licca ตุ๊กตา 6 ตัวแรกที่ปฏิวัติตุ๊กตารูปแบบเดิมๆด้วยลูกตาที่มีความแวววาว และพื้นผิวหน้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตา พร้อมกับแต่งแปลือกตาให้มีความกระจ่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสีผิวหน้าให้มันวาวขึ้นด้วย EBL ( Excellent ) : ในปี 2003 Takara เฉลิมฉลองวันครบรอบ 1 ปีแรกของ Blythe ด้วยการเปิดตัว Excellent Blythe ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับต้นแบบเดิมของ Kenner จะต่างกันก็ตรงวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น รุ่น Cinnamon Girl ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกและยางสีเข้ม มีความโปร่งใสมันวาว จนมาถึงรุ่น Fruit Punch แต่พลาสติกที่ใช้ทำลูกตาจะเป็นโทนสีสว่างขึ้น ( หลังจากที่หยุดผลิต EBL Dolls ... Takara ก็ได้ปล่อยตุ๊กตา Blythe รุ่นใหม่คือ Margaret Meets Ladybug และ Samedi Marche ออกมาตีตลาดของเล่นอีกอย่างต่อเนื่อง ) SBL ( Superior ) : ในปี 2004 - ปัจจุบัน ยังคงอิง Blythe ต้นแบบดั้งเดิมของ Kenner ( 1972 ) มากที่สุด แต่รูปแบบนั้นเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจากการยกเครื่องเปลี่ยนตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงโครงสร้างภายใน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาที่มีความแวววาวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบอยู่ด้านหลังก็ถูกทำให้ดูสมูทขึ้น พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนใหม่บริเวณหนังศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความทนทานมากขึ้นด้วย RBL ( Radiant ) : ในปี 2006 Radiant Blythe ถูกผลิตขึ้นมาตีตลาดอีกครั้ง ภายใต้บอดี้ที่เหมือนกับ SBL และ EBL แต่แตกต่างกันที่ตรงส่วนโค้งของเปลือกตาที่ดูลึกและมีมิติขึ้น เช่นรุ่น Darling Diva , Last Kiss และ Star Dancer ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนต่อไปอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวังก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จนหลงลืมคุณค่าของอดีต แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โหยหาอดีต เฉกเช่นเดียวกับ Blythe ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา แต่มันก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยังคงหลงเสน่ห์ในตัวมันนัก แม้เวลาจะผ่านไปสักกี่สิบปีก็ตาม ....